วันศุกร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

แบบทดสอบก่อนเรียน


คลิกลิ้งไปยังแบบทดสอบก่อนเรียน

https://docs.google.com/forms/d/1qqFw9ElgP9PULFC1H2918W83OPbuLiLhNYQjcvNp0d8/viewform?usp=send_form

แบบทดสอบหลังเรียน

คลิกลิ้งไปยังแบบทดสอบก่อนเรียน

https://docs.google.com/forms/d/1DqljOC5ZWFzj4n3XfuefIRTLg_xL-7p53_Mwq2hegeo/viewform?usp=send_form

ข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น


ความหมายของข้อเท็จจริงและข้อคิดเห็น
                        ข้อเท็จจริงพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๐๗๑ )
ได้ให้ความหมายไว้ว่า หมายถึง ข้อความหรือเหตุการณ์ที่เป็นมาหรือเป็นอยู่ตามจริง
                        ข้อคิดเห็นนั้น พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ (๒๕๔๖ : ๑๐๗๑ ) ได้ให้ความหมายไว้ว่าหมายถึง ความเห็น

                        ข้อเท็จจริง คือ ข้อความหรือเหตุการณ์ที่มีความเป็นไปได้ มีความสมจริงมีหลักฐานเชื่อถือได้ มีความสมเหตุสมผล เช่น ถ้าฝนตกในเวลาที่แดดออกเราจะมองเห็นรุ้งกินน้า ข้อความนี้เป็นข้อเท็จจริง เพราะมีความสมจริง เป็นไปได้พิสูจน์ได้

                        ข้อคิดเห็น เป็นข้อความที่แสดงความรู้สึก แสดงความคาดคะเนหรือข้อความที่แสดงทรรศนะของผู้พูดที่สอดแทรกเข้าไปในข้อความที่พูดเพื่อแสดงความคิดเห็นส่วนตัว เช่นชีวิตที่
มีแต่ความสุขเพียงอย่างเดียวเป็นชีวิตที่น่าเบื่อหน่ายมากข้อความนี้เป็นข้อคิดเห็น เพราะเป็นความรู้สึกหรือความคิดเห็นส่วนตัว



 

ใบความรู้ที่ ๓ เรื่อง “แผนภาพความคิด” (Mind Map)

             
  

                     แผนภาพความคิด (Mind Map) คือ การถ่ายทอดความคิด หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่มีอยู่ในสมองลงกระดาษ โดยการใช้ภาพ สี เส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิมที่เป็นบรรทัด ๆ เรียงจากบนลงล่าง ขณะเดียวกันมันก็ช่วยเป็นสื่อนำข้อมูลจากภายนอก เช่น หนังสือ คำบรรยาย การประชุม ส่งเข้าสมองให้เก็บรักษาไว้ได้ดีกว่าเดิม ซ้ำยังช่วยให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้ง่าย เนื่องจะเห็นเป็นภาพรวม และเปิดโอกาสให้สมองให้เชื่อมโยงต่อข้อมูลหรือ ความคิดต่าง ๆ เข้าหากันได้ง่ายกว่า

              “ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน” 


การสร้าง แผนภาพความคิด ( Mind Map)

๑. เขียน/วาดมโนทัศน์หลักตรงกึ่งกลางหน้ากระดาษ

๒. เขียน/วาดมโนทัศน์รองที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์หลักไปรอบ ๆ

๓.เขียน/วาดมโนทัศน์ย่อยที่สัมพันธ์กับมโนทัศน์รองแตกออกไปเรื่อย ๆ

.ใช้ภาพหรือสัญลักษณ์สื่อความหมายเป็นตัวแทนความคิดให้มากที่สุด

๔.เขียนคำสำคัญ (Key word) บนเส้นและเส้นต้องเชื่อมโยงกัน

๕.กรณีใช้สี ทั้งมโนทัศน์รองและย่อยควรเป็นสีเดียวกัน

๖.คิดอย่างอิสระมากที่สุดขณะทำ

หลักสำคัญในการทำแผนภาพความคิด ( Mind Map)                                                     ๑.อย่าเขียนประโยคยาวๆ เพราะพื้นที่จำกัด ให้เขียนใจความสั้นๆ หรือวลีเท่านั้น หากมีประโยคยาวๆ ให้กลุ่มช่วยกันสรุปเป็นคำสั้นๆ 
                                                                                                     
 ๒.ให้เขียนด้วยปากกาหลายๆสี 
                                                                                                      
 ๓. สามารถแสดงความเห็นได้เต็มที่



การสร้างแผนภาพความคิดมีหลายลักษณะ

การนำแผนภาพความคิดไปใช้ในการอธิบายเล่าเรื่อง เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์และการสังเคราะห์ข้อมูลช่วยให้เกิดการพิจารณาองค์ประกอบต่าง ๆ ของเรื่องได้ครบถ้วนและจัดระบบจัดลำดับความต่อเนื่องได้เป็นอย่างดี
สุรศักดิ์ หลาบมาลา ได้นำ เสนอรูปร่างลักษณะและวิธีการใช้แผนภาพความคิดดังนี้
๑.แผนภูมิใยแมงมุม (ASpiderMap)ใช้บรรยายแนวคิดหลักอันมีส่วนประกอบปลีกย่อย
อื่นๆ เช่น จังหวัดประกอบด้วยอำเภอ
๒. แผนภูมิลำดับเหตุการณ์ (Series of Events Chain) ใช้บรรยายขั้นตอนของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น การเจริญเติบโตของไหม กระบวนการทา สิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยมีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดเริ่มจากไหนมีความยาวเท่าไร
๓. แผนภูมิรูปวงกลมทับเหลื่อม (Overlapping Circles Map) เสนอการเปรียบเทียบสองสิ่ง
หรือสองเรื่องมีลักษณะเหมือนกัน หรือต่างกัน
๔. แผนภูมิวงจร (A Circle Map) นา เสนอโดยการเขียนเป็นแผนผังเพื่อเสนอความสัมพันธ์เป็นขั้นตอนต่าง ๆ ที่สัมพันธ์กัน เรียงลำ ดับเป็นวงกลม
๕. แผนภูมิก้างปลา (A Fishbone Map) ใช้แสดงสาเหตุของเหตุการณ์ที่ซับซ้อน โดยเขียน
ประเด็น หรือเรื่องหลักแล้วเสนอสาเหตุและผลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
๖. แผนภูมิพฤกษา (Network Tree)ใช้แสดงสาเหตุแห่งผลที่เกิดขึ้น ลำดับของตระกูล
สาขาของความต่อเนื่อง แนวคิดคืออะไร อะไรคือส่วนหลัก อะไรคือส่วนรอง และมีความ                            เกี่ยวพันอย่างไร
๗. แผนภูมิเปรียบเทียบ (A Compare Table Map) การเขียนเป็นตารางเพื่อเปรียบเทียบสอง
สิ่งหรือสองเรื่องในประเด็น ที่กำหนด
๘.แผนภูมิต่อเนื่อง (Continue / Scale) ใช้แสดงความต่อเนื่องของเวลาระดับ
ความสำคัญ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งต้องมีจุดเริ่มต้น จุดสิ้นสุด เช่น อายุ เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์
.แผนภูมิวัฎจักร (Cycle) ใช้แสดงลำดับเหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกัน อันนำไปสู่ผลอันหนึ่ง ซึ่งเกืดขึ้นแล้วเกิดอีก เช่น น้ำระเหย ก้อนเมฆ ฝนตก
   ๑๐.แผนภูมิแก้ปัญหา (Problem/Solution Out Line) ใช้ในการแสดงปัญหา  วิธีการแก้ปัญหา และผลที่ได้แนวคิด อะไรคือปัญหา ใครมีปัญหา ทำไมจึงเกิดปัญหา วิธีแก้ปัญหามีอะไร ผลออกมาอย่างไร



ใบความรู้ที่ ๒ การคิดวิเคราะห์แบบ ๕Ws ๑H

                     แผนภาพความคิดแบบ ๕WsH หมายถึง การจำแนกแยกแยะองค์ประกอบต่างๆของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของเรื่องราวหรือเหตุการณ์ และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลขององค์ประกอบเหล่านั้นเพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กำหนดให้โดยตั้งคำถาม และตอบคำถามว่า ใคร (Who) ทำอะไร(What) ที่ไหน(Where) เมื่อไร(When) เพราะเหตุใด(Why) และอย่างไร(How)
                      (Who) ใคร
                  บุคคลสำคัญที่เป็นตัวประกอบหรือเป็นผู้เกี่ยวข้องที่จะได้รับผลกระทบเช่น ใครอยู่ในเหตุการณ์บ้าง ใครน่าจะเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ ใครน่าจะเป็นคนที่ทำให้สถานการณ์นี้เกิดขึ้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ใครได้ประโยชน์ ใครเสียประโยชน์

                      (What) ทำอะไร
                 เกิดอะไรขึ้น มีอะไรเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นี้ สาเหตุที่ทำให้เกิดเหตุการณ์นี้คืออะไร

                      (Where) ที่ไหน
                เรื่องนี้เกิดขึ้นที่ไหน  เหตุการณ์นี้น่าจะเกิดขึ้นที่ใด

                      (When) เมื่อไร
             เวลาที่เกิดเหตุการณ์นั้น เช่น เหตุการณ์นั้นน่าจะเกิดขึ้นเมื่อไรเวลาใดบ้างที่สถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นได้

                      (Why) ทำไม
             สาเหตุหรือมูลเหตุที่ทำให้เกิดขึ้น เช่นเพราะเหตุใดเหตุการณ์นี้จึงเกิดขึ้นทำไมจึงเกิดเรื่องนี้

                      (How) อย่างไร

                      รายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังจะเกิดขึ้นว่ามีความเป็นไปได้ในลักษณะใด เช่น เขากำลังทำสิ่งนี้อย่างไรลำดับเหตุการณ์นี้ดูว่าเกิดขึ้นอย่างไรบ้างเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้อย่างไร


กระบวนการคิดวิเคราะห์


กระบวนการคิดวิเคราะห์


กระบวนการคิดวิเคราะห์ประกอบด้วย ๕ ขั้นตอน (สุวิทย์  มูลคำ. ๒๕๕๗ : -๑๙)
ขั้นที่ ๑ กำหนดสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์
          เป็นการกำหนดวัตถุ สิ่งของ เรื่องราวหรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ขึ้นมา เพื่อเป็นต้นเรื่องที่จะใช้วิเคราะห์
เช่น พืช สัตว์ หิน ดิน รูปภาพ บทความ เรื่องราว เหตุการณ์หรือสถานการณ์ข่าวของจริงหรือสื่อเทคโนโลยีต่างๆ เป็นต้น

ขั้นที่ ๒ กำหนดปัญหาหรือวัตถุประสงค์
         เป็นการกำหนดประเด็นสงสัยจากปัญหาหรือสิ่งที่วิเคราะห์ อาจจะกำหนดเป็นคำถามหรือกำหนดวัตถุประสงค์การวิเคราะห์ เพื่อค้นหาความจริงสาเหตุ  ความสำคัญ เช่น บทความนี้ต้องการสื่อหรือบอกอะไรที่สำคัญที่สุด

ขั้นที่ ๓ กำหนดหลักการหรือกฎเกณฑ์
เป็นการกำหนดข้อกำหนดสำหรับใช้แยกแยะส่วนประกอบของสิ่งที่  เช่นเกณฑ์ในการจำแนกสิ่งที่มีความเหมือนกันหรือแตกต่างกัน หลักเกณฑ์ในการหาลักษณะความสัมพันธ์เชิงเหตุผล อาจเป็นลักษณะความสัมพันธ์ที่มีความคล้ายคลึงกันหรือขัดแย้งกัน

ขั้นที่ ๔ พิจารณาแยกแยะ
         เป็นการกำหนดการพินิจพิเคราะห์ แยกแยะ และกระจายสิ่งที่กำหนดให้ออกเป็นส่วนย่อย ๆ โดยอาจใช้เทคนิคคำถาม 5 W 1 H ประกอบด้วย What(อะไร) Where (ที่ไหน) When (เมื่อไร) Why (ทำไม) Who (ใคร) และ How (อย่างไร)

ขั้นที่ ๕ สรุปคำตอบ

            เป็นการรวบรวมประเด็นที่สำคัญเพื่อหาข้อสรุป เป็นคำตอบหรือตอบปัญหาของสิ่งที่กำหนดให้


คุณสมบัติของบุคคลที่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์


คุณสมบัติของบุคคลที่เอื้อต่อการคิดวิเคราะห์




๑.  มีความรู้ความเข้าใจเรื่องที่จะวิเคราะห์ การคิดวิเคราะห์ที่ดีผู้คิดต้องมีความรู้พื้นฐานในเรื่องนั้นๆ เพราะจะช่วยให้กำหนดขอบเขตของการวิเคราะห์ จำแนกแจกแจงองค์ประกอบ จัดหมวดหมู่ ลำดับความสำคัญหรือสาเหตุของเรื่องราวเหตุการณ์ได้ชัดเจน
๒. ช่างสังเกต ช่างสงสัย  ซักถาม เป็นคนชอบตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่เสมอเพื่อไปขบคิดหรือค้นหาความจริงในเรื่องนั้น คำถามที่ใช้กับความคิดวิเคราะห์ คือ ๕WsH   ประกอบด้วย  
             

What (อะไร) 
Where (ที่ไหน)
When (เมื่อไร)
Why (ทำไม) 
Who (ใคร)
How (อย่างไร)


       ๓. ความสามารถในการตีความ เกิดจากรับข้อมูลเข้ามาทางประสาทสัมผัสสมองจะทำการตีความข้อมูล โดยวิเคราะห์เทียบเคียงกับความทรงจำหรือความรู้เดิมที่เกี่ยวกับเรื่องนั้น

      ๔. ความสามารถในการาหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผล การวิเคราะห์จะเกิดขึ้นเมื่อพบสิ่งที่มีความคลุมเครือ เกิดข้อสงสัยตามมาด้วยคำถาม ต้องค้นหาคำตอบหรือความน่าจะเป็นว่ามีความเป็นมาอย่างไรเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น จะส่งผลกระทบอย่างไรซึ่งสมองจะพยายามคิดเพื่อหาข้อสรุปความรู้ความเข้าใจอย่างสมเหตุสมผล



ใบความรู้ที่ ๑ การคิดวิเคราะห์



ความหมายของการคิดวิเคราะห์

สุวิทย์ มูลคำ (๒๕๔๗ : ๑๒๗) ได้ให้ความหมายของการคิดวิเคราะห์ไว้ว่า

การคิดวิเคราะห์ หมายถึง ความสามารถในการจำแนกแยกแยะองค์ประกอบต่างๆ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นวัตถุสิ่งของเรื่องราวหรือเหตุการณ์และหาความสัมพันธ์เชิงเหตุผลระหว่างองค์ประกอบเหล่านั้น เพื่อค้นหาสภาพความเป็นจริงหรือสิ่งสำคัญของสิ่งที่กำหนดให้



ทฤษฎีการคิด

ทฤษฎีของการคิดของบลูม (Bloom’s taxonomy) สุวัฒน์ วิวัฒนานนท์. (๒๕๕๐ : ๕๑)
ได้กำหนดจุดมุ่งหมายทางการศึกษา (Bloom’s taxonomy of Education Objectives) เป็น ๓ ด้าน ได้แก่ ด้านการรู้คิด ด้านจิตพิสัย และด้านทักษะพิสัย ของผู้เรียนส่งผลต่อความสามารถทางการคิดที่บลูมจำแนกไว้เป็น ๖ ระดับคำถาม ในแต่ละระดับมีความซับซ้อนแตกต่างกัน ได้แก่
ระดับที่ ๑  ระดับความรู้ความจำ แยกเป็นความรู้ในเนื้อหา เช่น ความรู้ในศัพท์ที่ใช้ และความรู้ใน
    ข้อเท็จจริงเฉพาะความรู้ในวิธีดำเนินการ
ระดับที่ ๒  ระดับความเข้าใจ แยกเป็นการแปลความ การตีความ และการขยายความ
ระดับที่ ๓ ระดับการนำไปใช้ แยกเป็นการประยุกต์
ระดับที่ ๔ ระดับการวิเคราะห์ แยกเป็นการวิเคราะห์ส่วนประกอบ การวิเคราะห์ความสัมพันธ์ และ
                  การวิเคราะห์หลักการ
ระดับที่ ๕ ระดับการสังเคราะห์ แยกเป็นการสังเคราะห์การสื่อความหมาย การสังเคราะห์แผนงาน
     และสังเคราะห์ความสัมพันธ์
ระดับที่ ๖ ระดับการประเมินค่า แยกเป็นการประเมินค่าโดยอาศัยข้อเท็จจริงภายใน และการประเมินค่า โดยอาศัยข้อเท็จจริงภายนอก การที่ผู้เรียนจะมีทักษะในการแก้ปัญหา และการตัดสินใจ ผู้เรียนจะต้องสามารถวิเคราะห์และเข้าใจสถานการณ์ใหม่ หรือข้อความจริงใหม่ได้